กาเฟอีนในขนมเด็ก


กาเฟอีนในขนมเด็ก
เมื่อพูดถึง "ขนม" เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเด็กไทยมานานมาก เริ่มตั้งแต่ขนมไทยหลากหลายชนิดแต่ทุกวันนี้ เราคงต้องยอมรับว่า สื่อโฆษณาต่างๆด้านขนมเด็ก ทำหน้าที่โหมกระหน่ำและมุ่งเป้าไปยังเด็กทุกวัย ทำ ให้ขนมเปลี่ยนรูปหน้ากลายไปเป็นขนมกรุบกรอบรสชาติถูกลิ้น เค้ก คุกกี้ ไอศกรีม ซึ่งขนมบางอย่างมีการนำวัตถุดิบธรรมชาติที่มีกาเฟอีนผสมลงไปด้วย เช่น เค้กรสกาแฟ รสช็อกโกแลต หากรับประทานในปริมาณที่มาก และบ่อยเกินไปอาจส่งผลต่อสุขภาพตามมาได้

      ผศ.ปรัญรัชต์ ธนวิยุทธ์ภัคดี นักวิชาการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า ปัจจุบันกาเฟอีนในอาหารที่คนไทยรับประทานไม่ใช่มีเฉพาะน้ำชา กาแฟ หรือน้ำอัดลมที่มีน้ำสีดำอย่างที่เข้าใจกันแต่ในขนม และลูกอมต่าง ๆ เช่น ขนมเวเฟอร์ เค้กคุกกี้ ลูกอมต่าง ๆ นม ไอศกรีม ก็ยังพบว่ามีกาเฟอีนผสมอยู่ ซึ่งกาเฟอีนเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทและมีผลกระทบต่อภาวะโภชนาการรวม ถึงพัฒนาการของเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กวัยเรียนซึ่งอยู่ในวัยที่กำลังเจริญเติบโต นับเป็นเรื่องที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

      สำหรับสถานการณ์การบริโภคกาเฟอีนในเด็กไทย จากข้อมูลการสำรวจสภาวะพฤติกรรมสุขภาพเยาวชนอายุ 6-15 ปีของกองสุขศึกษา พบว่า เด็กและเยาวชนยังคงดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำทุกวัน10.5 เปอร์เซ็นต์ ดื่ม5-6 วันต่อสัปดาห์ 28.4 เปอร์เซ็นต์ดื่ม3-4 วันต่อสัปดาห์ 26.1 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังหันมารับประทาน ช็อกโกแลต เค้ก คุกกี้ ไอศกรีมโดยคนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่ามีกาเฟอีนผสมอยู่ ส่งผลให้มีปัญหาความจำ และสติปัญญาถดถอย บางรายสมาธิสั้นไม่สามารถจดจำข้อมูล และเรื่องราวที่เกิดขึ้นฉับพลันได้เป็นเวลานาน เด็กมักจะเหม่อลอย ไม่สนใจเรียน หากบริโภคติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้สารกาเฟอีนเข้าไปทำลายจิตประสาท และความจำบางส่วนได้

      นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาปริมาณการบริโภคคาเฟอีนจากขนมและลูกอมในแต่ละวัน ของเด็กจากมหาวิทยาลัยมหิดล โดยทำการศึกษาเด็ก 2 กลุ่ม คือในกลุ่มอายุ 7-11 ปี และอายุ 12-17 ปี พบว่า เด็กอายุ 7-11 ปี มีพฤติกรรมกินขนมและลูกอมรวมสูงสุดใน 1 วัน 392.8 กรัม ทำให้ได้รับกาเฟอีนเฉลี่ย 60.8 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนในกลุ่มอายุ 12-17 ปี กินขนมและลูกอมรวมกัน 209.2 กรัม ทำให้ได้รับกาเฟอีนเฉลี่ย 23.1 มิลลิกรัมต่อวัน โดยในลูกอมรสกาแฟมีกาเฟอีน 2.7-3.2 มิลลิกรัมต่อเม็ด ลูกอมรสช็อกโกแลตมีกาเฟอีน 0.16 มิลลิกรัมต่อเม็ด นมรสช็อกโกแลตมีกาเฟอีน 12-14 มิลลิกรัมต่อกล่อง ขนมเวเฟอร์รสกาแฟมีกาเฟอีน 1.1-1.3 มิลลิกรัมต่อชิ้นและกาแฟมีคาเฟอีน 80-100 มิลลิกรัมต่อแก้ว

      ทั้งนี้มีรายงานด้วยว่า ขนาดของกาเฟอีนที่ทำให้เสียชีวิตได้ในเด็กเล็กประมาณ 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม นั่นหมายความว่า ถ้าเด็กหนัก10 กิโลกรัม ปริมาณกาเฟอีนที่จะทำให้เสียชีวิต คือ1,000 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมาก แต่ในทางปฏิบัติจริงคงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ถ้าดูว่าการได้รับกาเฟอีนของเด็กอายุต่างๆ ในช่วง 7-17 ปีนั้นจะพบว่าเด็กกินขนมทุกอย่าง (ยังไม่รวมน้ำอัดลมสีน้ำตาลดำและนมรสกาแฟหรือช็อกโกแลต) การได้รับกาเฟอีนยังไม่มากจนทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ แต่ทางที่ดีเด็กไม่ควรได้รับกาเฟอีนเกินวันละ 2.5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แสดงว่าถ้าเด็กมีน้ำหนักตัวประมาณ 10-15 กิโลกรัมก็ไม่ควรได้รับกาเฟอีนเกิน25-40 มิลลิกรัมต่อวัน

      "ทุกวันนี้พฤติกรรมของเด็กไทยเปลี่ยนไปมากโอกาสที่เด็กจะได้รับกาเฟอีนจาก แหล่งอื่นๆมีมากขึ้นส่งผลให้เด็กได้รับกาเฟอีนในแต่ละวันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและภาวะโภชนาการของเด็ก ซึ่งจะทำให้เด็กไทยมีโอกาสอ้วนมากขึ้น เพราะขนมเหล่านี้มีน้ำตาลและไขมันสูง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของเด็กคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลเอาใจใส่เกี่ยวกับการ เลือกบริโภคขนมและลูกอมตลอดจนคำนึงถึงปริมาณในการบริโภคขนมและลูกอมในแต่ละ วันด้วย"

      แม้ว่า กาเฟอีน ไม่ได้จัดเป็นสารเสพติดตามความหมายของสมาคมจิตแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกาและของ องค์การอนามัยโลก (WHO) แต่นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ส่วนใหญ่เห็นว่า เด็กอาจติดในลักษณะของการกินจนเป็นนิสัย และทุกคนคงทราบกันดีว่า ขนมต่างๆ ในท้องตลาด ล้วนแล้วแต่เป็นขนมที่มีทั้งไขมัน และน้ำตาลสูงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเค้กไอศกรีม คุกกี้ ลูกอม เวเฟอร์ และช็อกโกแลต ถ้าเด็กได้กินบ่อย ๆ และเป็นการกินนอกเวลาอาหาร การที่ขนมเหล่านี้มีพลังงานสูงและมีน้ำตาลสูงก็จะทำให้เด็กรู้สึกอิ่มจนไม่ อยากกินอาหารหลักที่มีสารอาหารครบถ้วน โอกาสที่จะเจริญเติบโตไม่เหมาะสมตามวัย และมีปัญหาโรคอ้วนเพิ่มเข้ามาย่อมเกิดได้สูง

ขอบคุณข้อมูลจาก  www.women.thaiza.com

ทีวีออนไลน์